มาสคอต จูลี่ส์
“จูลี่ส์” ย้ำภาพเจ้าแห่งบิสกิตสอดใส้ เนยถั่ว มุ่งทำตลาดเมืองไทย หลังเงียบหายไป 1 ปี สานต่อความแข็งแกร่งของแบรนด์ กว้านยอดขาย 500 ล้านภายใน 3 ปี จูลี่ส์ (Julie’s) เป็นผลิตภัณฑ์จากประเทศมาเลเซีย ที่มีมานานกว่า 20 ปี มีการส่งออกจำหน่ายมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ทั้งในตลาดอาเซียน, ตะวันออกกลาง, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, จีน, มองโกเลีย, เกาหลีใต้, อินเดีย, บังกลาเทศ, เนปาล, ฝรั่งเศส, สเปน, โปรตุเกส, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, แอฟริกา ฯลฯ
นายสถาปน์ มุกดีพร้อม ผู้จัดการภาคพื้นประเทศไทย บริษัท นิวเวฟ เอเชีย จำกัด เปิดเผยว่า นิวเวฟ เอเชีย ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แบรนด์จูลี่ส์ (Julie’s) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย จาก เพอร์เฟค ฟู้ดส์ แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศมาเลเซีย ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าจูลี่ส์ (Julie’s) ตั้งแต่ปี 2527 ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานผลิต 4 โรงงานในรัฐมะละกาโดยปัจจุบัน เพอร์เฟค ฟู้ดส์ นับเป็นผู้ผลิตสินค้าบิสกิตอันดับ 1 ในประเทศมาเลเซีย ผลิตภัณฑ์เด่น คือ บิสกิตสอดไส้เนยถั่ว ที่ใช้เนยถั่วมากกว่า 560 ตันต่อปี ถือว่าเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดของจูลี่ส์ ซึ่งทางบริษัทให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้า มีความพิถีพิถันใน
ทุกขั้นตอนการผลิต และใช้วัตถุดิบคุณภาพ สูง ทำให้ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO, GMP, HACCP, BRC, HALAL จากหลายสถาบัน ทั้งนี้ทางบริษัทยึดถือนโยบาย “Bakes Better Biscuits” ซึ่งมีการปรับปรุงคุณภาพและเทคโนโลยีการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่มีคุณภาพสูง
หลังจากที่แบรนด์จูลี่ส์ (Julie’s) ห่างหายไปจากวงการบิสกิตไทยไปประมาณ 1 ปี ณ วันนี้ บริษัท นิวเวฟ เอเชีย จำกัด กลับมาตอกย้ำแบรนด์อีกครั้งว่า “Julie’s กลับมาแล้ว” กลับมาพร้อมกับคุณภาพมาตรฐานของขนมทุกชิ้น
สำหรับจูลี่ส์ ในประเทศไทย เริ่มจำหน่าย อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2530 โดยได้รับการ ตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกสำคัญ 3 อันดับแรกของ จูลี่ส์ โดยผลิตภัณฑ์ของ Julie’s แบ่งออกเป็น 5 ประเภทใหญ่ คือ กลุ่มแซนด์วิช (บิส กิตสอดไส้) กลุ่มเวเฟอร์โรล กลุ่มบิสกิตคละรสกลุ่มแครกเกอร์ และกลุ่มสินค้าอื่นๆ ได้แก่ โอ๊ต, วาฟเฟิล ซึ่งสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุด คือ กลุ่มแซนด์วิช รสเนยถั่ว รสชีส และกลุ่มเวเฟอร์ Love Letter
จากการที่ผลิตภัณฑ์จูลี่ส์ ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมานาน ทางบริษัทคิดว่าการกลับมาของจูลี่ส์ (Julie’s) อีกครั้งไม่ใช่เรื่องยากนักที่ผู้บริโภคจะให้การยอมรับ สิ่งที่ทางบริษัทต้องทำก็คือ การกระจายสินค้าออกไปยังตลาดต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งโมเดิร์นเทรดในกรุงเทพฯ และห้างสรรพสินค้าในต่างจังหวัด นอกจากนี้ ทางบริษัทยังมีการจัดกิจกรรมในการแจกสินค้าตัวอย่างจากการไปออกบูธ เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่า จูลี่ส์ กลับมาแล้ว และในอนาคตทางบริษัท จะพัฒนาสินค้าอื่นๆ ให้เหมาะสมกับตลาดไทยมากยิ่งขึ้น
ในการทำตลาดช่วงแรก เนื่องจากทาง จูลี่ส์มีสินค้าหลายรายการ จึงเน้นการทำตลาด ในสินค้าที่คนไทยคุ้นเคยอยู่แล้วประมาณ 10 รายการ เช่น บิสกิตสอดไส้เนยถั่ว เลิฟเล็ตเตอร์เวเฟอร์ โกล์เด้นแครกเกอร์ บัตเตอร์ วาฟเฟิล เป็นต้น นอกจากนี้ทางบริษัทมีการทำโปรโมชั่นตลอดทั้งปี สำหรับในช่วงปลายปีนี้ บริษัทจัดให้มีโปรโมชั่นคืนกำไรให้กับลูกค้า เช่น การเพิ่มปริมาณ 25% หรือ 50%
บริษัทได้ตั้งเป้าหมายในระยะเวลา 3-5 ปี จะมียอดขายประมาณ 400-500 ล้านบาท นั่นคือ สิ่งที่ทางบริษัทเล็งเห็นเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกันกับทางประเทศมาเลเซีย เนื่อง จากการกลับมาของจูลี่ส์ในครั้งนี้ มีคู่แข่งในตลาดบิสกิตเพิ่มขึ้น แต่สินค้าของเรามีข้อได้เปรียบ คือ คุณภาพของสินค้า ถ้าผู้บริโภคได้ทดลองชิมแล้วรับรองว่าต้องกลับมาซื้อบริโภคอีกอย่างแน่นอน
ปัจจุบัน ยอดขายของจูลี่ส์ทั่วโลกมีตลาดส่งออกอันดับ 1 คือ สิงคโปร์ อันดับ 2 คือ จีน ส่วนไทย จะอยู่เป็นอันดับ 3 ซึ่งในอนาคตคาดว่า ประเทศไทยน่าจะแซงขึ้นมาเป็นอันดับ 2 รองจากจีน
|